Our History

"ย่านนางเลิ้งเป็นพื้นที่อยู่ระหว่างคลองรอบกรุง กับคลองผดุงกรุงเกษม มีพัฒนาการยาวนานกว่า 200 ปี เคยเป็นพื้นที่ทุ่งนาและมีผู้คนอยู่เบาบางนับแต่สมัย กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อเกิดการขยายตัวของ กรุงเทพฯในสมัยรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ทําให้ ย่านนางเลิ้งกลายเป็นที่อยู่อาศัยของผู้คนทั้งไทย เขมร ลาว ญวน และจีน หนาแน่นขึ้น และนับตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา ย่านนางเลิ้งค่อยๆ พัฒนา กลายเป็นย่านที่อยู่ของเจ้านายกลายเป็นย่าน ความเจริญ เกิดตลาดนางเลิ้งที่ต่อมากลายเป็น ย่านศูนย์กลางการค้าและแหล่งบันเทิงที่มีชื่อเสียง ย่านหนึ่งของกรุงเทพมหานครและสืบมานานกว่า 100 ปี เมื่อประมาณ 40 ปีที่ผ่านมาความรุ่งเรืองของย่านนางเลิ้ง ต้องพลิกผันกลายเป็นเพียงความทรงจําที่ผู้คนทั้งใน ชุมชนและผู้ที่เคยไปเยือนได้เล่าขานกันมาจนทุกวันนี้"

ย่านนางเลิ้ง ท้องทุ่งกว้างฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือ ของพระนคร : บ้านสนามกระบือ

ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (รัชกาล ที่ 1 - รัชกาลที่ 3 หรือ พ.ศ. 2325 - 2394) 70 ปีแรก ของการสถาปนากรุงเทพมหานคร บริเวณนางเลิ้งมี สภาพเป็นท้องทุ่งอยู่นอกกําแพงเมืองพระนครโดยมี คลองรอบกรุงคั่นอยู่ มีคลองมหานาคอยู่ทางทิศใต้ ระยะนี้จึงมีผู้คนอยู่เบาบางทั้งชาวไทย เขมรและลาวที่ ถูกกวาดต้อนมาเป็นเชลยศึกและได้เคยช่วยขุดคูเมืองและ สร้างกําแพงพระนคร ย่านนางเลิ้งตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ของพระนคร เป็นที่อยู่ประปรายของคนไทยบ้างและ เชลยศึกบ้างที่กวาดต้อนมาทั้งเขมรและลาวที่ถูกเกณฑ์ ให้ขุดคูสร้างกําแพงพระนคร รวมทั้งมอญล่องเรือมา ค้าขายและตั้งบ้านเรือน นอกจากนี้ยังมีชาวใต้ทั้งชาวละคร ชาวตะลุง และชาวสงขลาที่ติดตามกองทัพของพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ซึ่งไปปราบกบฏที่ภาคใต้เข้ามายังกรุงเทพฯ พระบาทสมเด็จ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณนี้ด้วย ซึ่งปรากฏชื่อเรียกบริเวณนี้ในสมัยรัชกาลที่ 3 ว่า “บ้านสนามกระบือ” แต่ชาวบ้านมักเรียกว่า “บ้านสนามควาย”

บ้านสนามควาย หรือ บ้านสนามกระบือในสมัยรัชกาลที่ 3 จึงเป็นทุ่งกว้างใหญ่มีผู้คนหลายกลุ่มจำนวนไม่มากนักอยู่กันอย่างเบาบาง อันเป็นพื้นที่นอกพระนครมีการใช้เส้นทางคมนาคมทางน้ำเป็นหลัก คลองรอบกรุง (คลองบางลําพู คลองโอ่งอ่าง) ออก สู่แม่น้ำเจ้าพระยาทางด้านเหนือและด้านใต้ จากคลองรอบกรุงผ่านคลองหลอดเข้าคลองคูเมืองเดิมเข้าสู่ใจกลางพระนครและจากคลองรอบกรุงออกคลองมหานาคออกไปสู่พื้นที่อันโล่งกว้างทางตะวันออกของพระนครได้ เส้นทางเหล่านี้ได้กลายเป็นเส้นทางแลกเปลี่ยนการค้าที่สําคัญต่อมาด้วย ชาวใต้กลุ่มหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งถิ่นฐานอยู่บ้านสนามควายนั้นโปรดเกล้าฯให้เป็น “ไพร่หลวงเกณฑ์บุญ” ฝึกเป็น ช่างปูนช่างศิลาหลวง ชาวใต้กลุ่มนี้ได้มีการนําเอาศิลปะการแสดงขอ ประเภทโขน ละครชาตรี หนังตะลุง ลิเก และดนตรีปีพาทย์เข้ามาจนกลายเป็น เอกลักษณ์และสร้างชื่อเสียงสืบต่อกันมา นาน และปัจจุบันยังสืบสานคงอยู่คู่กับย่านนี้ที่สําคัญ คือ คณะครูพูน เรืองนนท์ และลูกหลานซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน

ผู้คนทั้งไทย เขมร ลาว มอญ และ ชาวใต้ส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ มีวัดสนามกระบือ (หรือวัดสนามควาย) หรือวัดแค ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นศูนย์รวมจิตใจและศูนย์กลางชุมชน ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 (พ.ศ. 2364 - 2367) นี้โปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองแสนแสบต่อจากคลอง มหานาคตัดไปออกแม่น้ําบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ทําให้การคมนาคมจากคลองมหานาคขยายออกไป สู่ท้องทุ่ง และพื้นที่ด้านตะวันออกของพระนครไปจนถึง จังหวัดนครนายกและปราจีนบุรี ทําให้เกิดความสะดวก ต่อการคมนาคมและการขนส่ง จึงมีผู้คนสัญจรและ เกิดการค้าแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้คนอพยพ เข้ามาบริเวณย่านสนามกระบือเพิ่มขึ้น

บ้านสนามกระบือมิใช่พื้นที่นอกพระนครอีกต่อไป

เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 (พ.ศ. 2394 - 2411) ทรงเสด็จเสวยราชย์ ทั้งในปีแรกทรงพิจารณาเห็นว่าบ้านเมืองเจริญขึ้นผู้คนก็ เพิ่มมากกว่าเมื่อเริ่มสร้างกรุงจึงโปรดเกล้าฯ ให้มีการ ขยับขยายพระนครออกไปทางด้านตะวันออกโดยการ ขุด “คลองขุดใหม่” หรือ “คลองผดุงกรุงเกษม” ขนาน กับคลองรอบกรุง พร้อมทั้งสร้างป้อมตามแนวริมคลอง 8 ป้อม

ผลของการขุดคลองนี้ทําให้บ้านสนามกระบือ กลายเป็นเขตพื้นที่ในพระนคร และเป็นการเปิดพื้นที่การทํานา ทําสวนมากขึ้น เกิดเส้นทางสัญจรทางน้ำเพิ่มขึ้นอีก คือคลองผดุงกรุงเกษมที่สามารถออกสู่แม่น้ําเจ้าพระยาทั้งทางด้านเหนือ (บริเวณวัดเทวราชกุญชร หรือ วัดสมอแครง) ย่านเทเวศร์ หรือผ่านลงไปทางด้านใต้ผ่าน คลองมหานาคและย่านวัวลําพอง (หัวลําโพง) ไปออกแม่น้ํา เจ้าพระยาบริเวณวัดแก้วแจ่มฟ้าบริเวณ สี่พระยา นอกจากนี้หลังจากขุดคลองผดุงกรุงเกษมแล้ว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวยังโปรดเกล้าฯ ให้ชาวญวนจากเมืองกาญจนบุรีกลุ่มหนึ่งที่ถูกกวาด ต้อนมาตั้งแต่ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัวให้ย้ายมาตั้งบ้านเรือนที่ริมคลองผดุงกรุงเกษม (ใกล้สะพานจตุรพักตร์รังสฤษดิ์) ฝั่งตรงข้ามวัดสนาม กระบือ ชาวญวนกลุ่มนี้ต่อมาได้ร่วมกันสร้างวัดอนัมนิกาย ของตนขึ้น คือ วัดเกี่ยงเพื่อกสื่อ หรือที่ชาวบ้านเรียกกัน ต่อมาภายหลังว่า วัดญวนนางเลิ้ง เป็นศูนย์รวมในการปฏิบัติศาสนกิจ

ชุมชนเริ่มขยายมากขึ้นต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าโปรดเกล้าฯให้สร้างวัดโสมนัสราชวรวิหารขึ้นริมคลองผดุงกรุงเกษมนี้ และโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระอารามหลวงราชวรวิหาร ชั้นโท ซึ่งวัดนี้ตั้งอยู่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของ วัดสนามกระบือและในรัชกาลนี้ยังโปรดเกล้าฯ ให้ เปลี่ยนชื่อวัดสนามกระบือหรือวัดแค เป็นวัดสุนทรธรรมทานด้วย

นางเลิ้งกับการพัฒนาสู่ความทันสมัย

หลังจากการเปิดประเทศด้วยการทําสนธิสัญญาบาวริง ในปี พ.ศ. 2398 สยามผูกพันกับเศรษฐกิจโลก มีชาวต่างประเทศทั้งจีน ฝรั่งและแขกต่างทยอยกันเข้า มาตั้งห้างร้านและตัวแทนจําหน่ายสินค้าในกรุงเทพฯ มี สินค้าหลากหลายเข้ามาสู่สยาม เกิดธุรกิจโรงแรม ท่าเรือ ค้าปลีก ค้าส่ง รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการค้าและธุรกิจใน กรุงเทพฯด้วยการสร้างสาธารณูปโภคที่ทันสมัยแบบ ตะวันตก เช่น ไฟฟ้า ประปารถเจ็กรถลากรถราง ไปรษณีย์ โทรศัพท์ โทรเลข ถนนหนทาง สะพานข้ามคลองให้รถ วิ่งและมีการสร้างวัง สถานที่ราชการ อาคารตึกฝรั่ง ห้องแถว ผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้าง กายภาพของกรุงเทพมหานครทีละน้อย เพื่อตอบ สนองการขยายตัวทางการค้าภายในเมืองและการค้า ระดับประเทศ กรุงเทพฯ ค่อยๆ พัฒนาเป็นมหานครทางการค้า ในที่สุดย่านสนามกระบือซึ่งมีวัดสุนทรธรรมทาน (วัดแค) และวัดโสมนัสราชวรวิหารซึ่งเป็นวัดราษฎร์และวัดหลวงเป็นศูนย์กลางของชุมชนก็เช่นกันได้ค่อยๆพัฒนาขึ้นและทวีความสําคัญอย่างเด่นชัด

หลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411-2453) ทรงขยายพระราชวังสวนดุสิตออกมานอกแนวคลองผดุงกรุงเกษม ซึ่งเป็นคลองคูพระนครใหม่ พร้อมกับมีการตัดถนนหลายสาย เช่น ถนนราชดําเนิน (ใน กลาง และนอก) ถนนสามเสน ถนนกรุงเกษม ถนนหลานหลวง ถนนลูกหลวง ถนนนครสวรรค์ ถนนพะเนียง ถนน จักรพรรดิพงษ์ ถนนศุภมิตร ถนนพิษณุโลก อีกทั้งยังมีการสร้างสะพานข้ามคลองต่างๆ เพื่อใช้ในการสัญจรถึงกันได้สะดวก เป็นการเปิดพื้นที่นอกกําแพงพระนครทั้งด้านทิศเหนือและทิศตะวันออก โดยเฉพาะทางทิศตะวันออกบริเวณบ้านสนามกระบือได้รับการพัฒนาให้กลายเป็นพื้นที่ที่มีความเจริญและกลายเป็นย่านที่ผู้คนเข้าถึงได้ทั้งการคมนาคม ทางบกและทางน้ํา

นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานที่ดินบริเวณพื้นที่นอกแนวคลองผดุงกรุงเกษมที่เปิดใหม่ บริเวณ บ้านสนามกระบือและใกล้เคียงนี้ให้พระราช โอรสสร้างวังต่างๆ 10 กว่าวัง บริเวณนี้ จึงกลายเป็น “ย่านวัง" เจ้านาย ได้แก่ วังกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ (วังนางเลิ้ง) วังกรมหมื่นไชยศรีสุริโยภาส วังกรมหลวงสิ่งหวีกรมเกรียงไกร (วังสะพานขาว) วังสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ (วัง วรติศ) วงจอมพลหลวงนครไชยศรีสุรเดช (วังมหานาค) วังจันทรเกษม วังสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ (วัง ปารุสกวัน) วังสมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงลพบุรีราเมศร์ (วังลดาวัลย์) วังกรมหลวงปราณกิติบดี วังกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ (วังบาง ขุนพรหม) และวังกรมหลวงจันทบุรีนฤนารถ เป็นต้น พร้อมทั้งเกิดการเปลี่ยนแปลงด้วยการ รับวัฒนธรรมตะวันตกในรูปแบบการก่อสร้าง วังและความนิยมในสินค้าอุปโภคและบริโภคของตะวันตกตามมามากขึ้น

เมื่อประชากรเพิ่มขึ้นและผู้คนทั้ง พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง เจ้านาย ข้าราชการ ต่างขยับขยายออกมาอยู่นอกกําแพงพระนครมากขึ้น เครื่องอุปโภค บริโภคจึงเป็นสิ่งจําเป็น เกิดพื้นที่ทําการค้าขายใกล้ริมคลองผดุงกรุงเกษมเป็นระยะ ตั้งแต่ปากคลองผดุงกรุงเกษมเรื่อยมาจนถึงบริเวณบ้านสนามกระบือ โดยเฉพาะบริเวณย่านสนามกระบือที่อยู่ใกล้คลองผดุงกรุงเกษมได้เกิดพื้นที่ทำการค้าขาย ขยายตัวริ่มติสองทั้งทางน้ําก่อนในระยะแรกเริ่มและ ขยายมาบนบกริมคลอง ต่อมาเกิดการขยายตัวการค้าทางบกถัดจากริมคลองเข้ามาเล็กน้อยเมื่อมีการ สร้างถนนบริเวณบ้านสนามกระบือหลายสายตั้งที่ กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะถนนตลาด (หรือต่อมาเรียกว่า ถนนนครสวรรค์)ซึ่งผ่านใจกลางย่านนี้ พร้อมทั้งมีการสร้างอาคารร้านค้าที่อยู่อาศัยสองฝั่งถนนตลาดนี้และสร้างอาคารโรงตลาดขึ้นมาซึ่งปรากฏเรียกชื่อเป็นทางการว่า ตลาดนางเลิ้ง

ตลาดนางเลิ้ง ตั้งอยู่ริมถนนตลาดหรือถนน นครสวรรค์ เปิดอย่างเป็นทางการ ณ วันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2443 (29 มีนาคม รศ.118) จนเป็นข่าวเด่นข่าวดังในยุคสมัยนั้น ลงในหนังสือพิมพ์บางกอกสมัย ฉบับ 30 มีนาคม รศ. 118

ตลาดแห่งนี้ได้กลายเป็นตลาดที่ทันสมัย ตื่นตา ตื่นใจของผู้คนโดยรอบและจากที่ต่างๆ มีผู้คนมาจับจ่ายข้าวของกันมากมาย ทั้งนี้นิราศพระราชวังดุสิต กล่าวไว้ว่า “ถึงตลาดนางเลิ้งดูเจิ้งว้าง คณานางน่าซมซ่างคมสัน นั่งร้านรายขายผักน่ารักครั้น ห่มสีสันแต่ร่างดังนางใน พวกจีนไทยในติสาตก็กลัดกลุ้ม ทั้งสาวหนุ่มแซ่อยู่เด็กผู้ใหญ่ นั่งขายของสองข้างหนทางไป ล้วนเข้าใจพ้อชัตชํานาญ"

ย่านตลาดนางเลิ้งกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ

อย่างไรก็ตามตลาดนางเลิ้งมิใช่ตัวอาคารตลาดเท่านั้นแต่หมายรวมถึงอาคารตึกห้องแถวรอบๆตัวตลาด อันได้แก่ ศึกห้องแถวหน้าตลาดริมถนนนครสวรรค์ 2 ฝั่งต่อเนื่องมายังตึกแถวริมถนนกรุงเกษมซึ่งส่วนใหญ่มีอายุประมาณ 80-100 ปี (สร้างราวปี พ.ศ. 2443 - 2473) ต่อมามีการขยายสร้างตึกแถวริมถนนพะเนียงและริมถนนศุภมิตรเพิ่มขึ้นอีก ทําให้ตัว อาคารตลาดเป็นใจกลางของย่านการค้ากลุ่มนี้ ในอดีตตัวอาคารตลาดตรงกลางเป็นตลาดสด เน้นขายของสตทั้งเนื้อสัตว์ ของทะเล ผักและผลไม้นานา ชนิดและตึกแถวรอบๆตัวตลาดขายของสตบ้าง ของแห้ง เครื่องอุปโภคบริโภคหลากหลาย บ้างเป็นร้านอาหาร ส่วนตึกแถวริมถนนตลาด ถนนกรุงเกษมจะเป็นร้านขายของอุปโภคบริโภครวมทั้งของใช้จากต่างประเทศด้วยการค้าจะเป็ดขายทั้งวัน เจ้านาย ข้าราชการทั้งพลเรือนและ ทหารบริเวณโดยรอบและใกล้เคียงต่างมักพากันมาจับจ่าย ซื้อของกันตึกตัก รวมทั้งผู้คนที่อยู่ไกลออกมามักเดินทางไปซื้อของกันในย่านนี้ที่นับว่าขายของที่ทันสมัยและเป็น ย่านศูนย์รวมสินค้ามากมายหลากหลายที่โดดเด่นของกรุงเทพฯในยุคนั้น

ผู้คนโดยเฉพาะคนจีนค่อยๆเคลื่อนย้ายเข้ามาค้าขายและตั้งถิ่นฐานอยู่หนาแน่นขึ้น ส่วนกลุ่มคนดั้งเดิมยังคงอยู่รอบๆวัดสุนทรธรรมทาน (วัดแค) และบริเวณรอบวัดโสมนัสราชวรวิหาร ส่วนชาวญวนจะอยู่บริเวณริมคลองผดุงกรุงเกษมฝั่งตรงข้ามโดยอยู่รอบๆ วัดเกี้ยงเพื่อกสื่อ หรือ วัดญวนนางเลิ้ง ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดนี้ให้ใหม่คือ วัดสมณานัมบริหาร แต่เนื่องจากอยู่ใกล้สะพานขาวจึงนิยมเรียกกันในระยะหลังว่าวัดญวนสะพานขาว

อย่างไรก็ตามย่านตลาดนางเลิ้งกลายเป็นถิ่นค้าขายและอาศัยของชาวจีนที่กระจุกตัวอยู่หนาแน่นขึ้นและชาวจีนเหล่านี้ได้ร่วมกันสร้างศาลเจ้าเล็กๆเป็นศาลไม้ไว้ตรงกลางตัวตสาต มีการอัญเชิญเข้าหลายองค์ มาสถิตย์ เช่น เจ้าพ่อกวนอู เพื่อสักการะให้เก็ต ศิริมงคลต่อชีวิตและการค้า ชาวบ้านเรียกขานศาลนี้ว่า ศาลเจ้านางเลิ้ง ต่อมาภายหลังได้มีการขยับขยาย สร้างเป็นศาลเจ้าจีนขนาดใหญ่กว่าขึ้นแทนและมี การอัญเชิญสมเด็จกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์มา ประทับที่ศาลนี้ด้วย ต่อมาเสด็จเตี้ยมีความสําคัญกลายเป็นเทพประธานของศาลนี้เนื่องจากชาวไทยเชื้อสายจีนและชาวบ้านย่านนางเลิ้งต่างเคารพนับถือพระองค์และวังของพระองค์ คือ วังนางเลิ้งยังตั้งอยู่ใกล้ตลาดนางเลิ้งอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันคือพื้นที่บริเวณสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลวิทยาเขตพาณิชยการพระนครด้านริมถนนพิษณุโลกเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ดังนั้นปัจจุบันศาลเจ้านางเลิ้งจึงนิยมเรียกว่า “ศาลเสด็จพ่อกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์” หรือ “ศาลเสด็จเตี่ย” ด้วย ซึ่งนอกจากจะมีการไหว้เทพเจ้าจีนตาม ระเพณีจีนในวันตรุษจีน วันสารทจีนเป็นหลักแล้ว ยังมีงานใหญ่ประจําปีที่สําคัญของศาลนี้และของย่านนี้ คือ งานวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จกรมหลวงชุมพรฯ ซึ่งตรงกับวันที่ 19 ธันวาคมของทุกปีโดยจัดเป็นงานใหญ่ราว 2-3วัน มีจิ๋ว มีลิเก มีละครชาตรี มีการเซ่นไหว้ และแห่องค์เทพประธานของศาล ชาวบ้านและผู้คนมากมายเข้าร่วมงาน

เป็นที่น่าสังเกตว่า เอกสารเก่าก่อนและในรัชกาลที่ 5 ตอนต้นที่กองจดหมายเหตุมักเรียกย่านนี้ว่าบ้าน สนามกระบือ (ชาวบ้านเรียกบ้านสนามควาย) และต่อมาปรากฏใช้เรียกถนนสนามกระบือ (ซึ่งต่อมามีการสร้างวังริมถนนนี้จึงเรียกถนนนี้ใหม่ว่าถนนหลานหลวง) วัดสนามกระบือและตําบลสนามกระบือ นับตั้งแต่มีการสร้างตลาดนางเลิ้ง และมีการเปิดตลาดนี้อย่างเป็นทางการในปีพ.ศ.2443 แล้วหลังจากนั้นชื่อสนามกระบือหรือสนามควายค่อยๆหายไป คําว่า “นางเลิ้ง” เริ่มเป็นที่รับรู้และรู้จักกันมากขึ้นแทนที่ไปในที่สุด 

คําว่านางเลิ้ง นักวิชาการและผู้รู้ต่างให้ข้อคิดยังไม่ลงตัว บ้างว่ามาจากภาษาเขมรว่า ฉนังเพิ่ง บ้างว่ามาจากภาษามอญว่า อีเลิ้ง เนื่องจากมีชาวมอญมักนําภาชนะใส่น้ําที่เรียกว่า อีเลิ้งใส่เรือล่องมาจอดขายที่ย่านนี้ จึงเรียกบริเวณนี้ว่า อีเลิ้งที่ต่อมาเพี้ยนเป็นนางเลิ้ง อย่างไรก็ตามยังไม่พบหลักฐานลายลักษณ์อักษรว่ามีการใช้เขียนเรียกย่านนี้ว่า ฉันงเพิ่ง หรือ อีเลิ้ง การเรียกย่านนี้ว่า “นางเลิ้ง” เริ่มปรากฏครั้งแรกเมื่อใดไม่ทราบแน่ชัด แต่เท่าที่ปรากฏหลักฐานพบว่ามีการใช้คําว่า นางเลิ้งในเอกสารในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2411-2453)เป็นต้นมา ได้แก่ ตําบลนางเลิ้ง อําเภอนางเลิ้ง และตลาดนางเลิ้ง ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2436-2468) มีการนําคําว่านางเลิ้งไปใช้เรียกสถานที่ต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมาในพื้นที่นี้และบริเวณใกล้เคียงอีก เช่น โรงพัก ตลาดนางเลิ้ง สนามม้านางเลิ้ง และโรงหนังนางเลิ้ง เป็นต้น

ย่านนางเลิ้งศูนย์กลางการค้าและแหล่งบันเทิง

ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว (พ.ศ. 2453-2468) ทรงขยายและสร้างความเจริญสู่พื้นที่นอกพระนครมาทางด้านตะวันออกที่เป็นทุ่งนา “ทุ่งส้มป่อย” อีกด้วยการสร้างตําหนักจิตรลดารโหฐานที่ประทับของพระองค์อีกแห่งหนึ่ง บริเวณย่านนางเลิ้งจึงกลายเป็นย่านกลางกรุงมากขึ้น ตลาดนางเลิ้งคึกคักขึ้นต่อมามีการตั้งโรงพักขึ้นด้านหน้าตลาดนางเลิ้งข้ามคลองผดุงกรุงเกษมไปเล็กน้อยมีการตั้งสนามม้านางเลิ้งและเมื่อผู้คนมากขึ้นจึงมีการสร้างโรงหนังนางเลิ้ง และข้างๆโรงหนังนางเลิ้งเกิดแหล่งผู้หญิงขายบริการที่เรียกว่า “ตรอกสะพานยาว” เกิดมีโรงบ่อนและโรงฝิ่น อีกทั้งการแสดงศิลปะพื้นบ้านของกลุ่มตรอกละครย่านนี้โต่งตั้งเฟื่องฟู 

โรงพักตลาดนางเลิ้ง เริ่มแรกเป็นอาคารไม้ ตั้งอยู่ริมถนนตลาดหรือถนนนครสวรรค์ด้านหน้าตลาด นางเลิ้งใกล้วัดโสมนัสราชวรวิหาร ซึ่งปรากฏในแผนที่กรุงเทพฯในปี พ.ศ. 2450 เรียก “โรงพักตลาดนางเลิ้ง” แต่ข้อมูลสถานีตํารวจนครบาลนางเลิ้ง กล่าวว่าตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2456 เดิมเรียกสถานีตํารวจแขวงนางเลิ้ง หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “สถานีตํารวจนางเลิ้ง” และต่อมาเปลี่ยนเป็น “สถานีตํารวจนครบาลนางเลิ้ง” ในปี พ.ศ. 2495 อาคารหลังเดิมเป็นไม้ มีสภาพทรุดโทรมคับแคบจึงย้ายไปอยู่ ที่ใหม่ใกล้แยกสะพานผ่านฟ้าการมีตํารวจไว้ดูแลชุมชนแสดงให้เห็นถึงความสําคัญของย่านตลาดและชุมชนนี (พ.ศ. 245362468) มีการนําคําว่านางเลิ้งไปใช้เรียกสถานที่ต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมาในพื้นที่นี้และบริเวณใกล้เคียงอีก เช่น โรงพัก ตลาดนางเลิ้ง สนามม้านางเลิ้ง และโรงหนังนางเลิ้ง เป็นต้น

สนามม้านางเลิ้งตั้งอยู่คลองผดุงกรุงเกษมฝั่งตรงข้ามกับตลาดนางเลิ้ง เริ่มก่อตั้งในปี พ.ศ. 2459 โดยพระยาประดิพัทธภูบาลและพระยาอรรถการประสิทธิ์ได้ทูลเกล้าถวายหนังสือขอพระบรมราชานุญาตตั้งสโมสรสนามม้าแข่งขึ้นเพื่อบํารุงพันธุ์ม้า โดยใช้พื้นที่ หลวงซึ่งอยู่ใกล้ย่านนางเลิ้งนี้ สนามม้านางเลิ้งมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมนี้จึงมีลักษณะเป็นสโมสรที่ดําเนินการบํารุงพันธุ์ม้า มีการสั่งพันธุ์ม้าผู้จากอังกฤษ อาหรับ ออสเตรเลีย มาเมืองไทยเพื่อให้คนไทยหาม้าตัวเมียมาผสมพันธุ์ และที่สําคัญจะมีกิจกรรมการแข่งม้าเป็นหลักและต่อมาได้มีกีฬาประเภทอื่นๆด้วย ปัจจุบันสนามม้านางเลิ้งมีอายุเกือบ 100 ปีแล้ว ทําให้ย่านนางเลิ้งมีผู้คนมากหน้าหลายตาจากหลายทิศ มาชุมนุมดูการแข่งม้าและที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือการพนัน ชาวนางเลิ้งมักพูดถึงคนในชุมชนจํานวนหนึ่งยังชอบดูชอบพนั้นมาด้วยเช่นกัน

ย่านนางเลิ้งเป็นย่านของศิลปะการแสดงที่มีชื่อเสียงมานับแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยเฉพาะบริเวณ “ตรอกละคร” ซึ่งอยู่ติดถนนหลานหลวง (เดิมเรียกว่า ถนนสนามกระบือ) และอยู่ติดวัดสุนทรธรรมทาน (หรือ ดแค ระยะหลังชาวบ้านเรียกว่าวัดแคนางเลิ้งไปด้วย) มีทั้งโขน ละคร หนังตะลุง สิเก และดนตรีปี่พาทย์ มีหลายคณะ คณะที่โด่งดังเก่าแก่มีชื่อเสียงสืบทอดมาจนทุกวันนี้ คือ คณะละครที่สืบเชื้อสายมาจากละครชาวใต้ที่ย้ายเข้ามาตั้งถิ่นฐานในย่านนี้ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 คือ คณะของนายพูนเรื่องนนท์ ดังนั้นบริเวณปากตรอกละครจะมีป้ายติดไว้ “นายนนท์ บิดา คณะครูพูน เรืองนนท์ มีละคร หนังตะลุง ลิเก พิณพาทย์ไทย มอญ” 

บ้านเรือนในตรอกละครนี้เป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยนับแต่บรรพบุรุษครูพูน ครูพูนและภรรยาทั้งห้า ปัจจุบันลูกๆ หลานๆ ของครูพูนยังอาศัยอยู่ เมื่อเดินเข้าตรอกมักพบชุดละครแขวนอยู่และเห็นชาวละครปักชุดละครอยู่ ขุนวิจิตรมาตราหรือนายสง่า กาญจนาคพันธุ์ (พ.ศ. 2440 - 2523) ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับกรุงเทพฯ สมัยเมื่อ 90 ปีที่ผ่านมาว่าจากสะพานผ่านฟ้าลีลาศลงไปเป็นตําบลสนามควายเป็นถิ่นของกลุ่มละครชาตรี มีนายพูน เรืองนนท์ เป็นโต้โผละครชาตรีที่มีชื่อเสียง ที่หน้าบ้านจะมีเสาเล็กๆปักไว้ ยอดเสามีกรวยใส่ ศรพระขรรค์ กระบองดาบเล็กๆ รวมทั้งธงแดงที่เป็น เครื่องหมายว่าที่นี่มีละครชาตรี “รับงานหา” เพื่อไป เล่นในงานต่างๆ และแก้บนด้วย ในอดีตย่านหลานหลวงซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่ง ของย่านนางเลิ้งจึงมีชื่อมากเรื่องศิลปะการแสดง ที่ขาด ไม่ได้คือ การได้แสดงที่ตลาดนางเลิ้ง ชาวบ้านทั้งใกล้และ ไกลมักเล่าถึงการได้ชมละครและลิเกที่ตลาดนางเลิ้งถือ เป็นเรื่องสนุกสนานน่าชมมากในยุคนั้น